Summary
อ่านนิยาย ได้ที่ Novelza เรื่อง ดัดนิสัยจอมมาร
โดย นำเรื่อง ดัดนิสัยจอมมาร มาเป็นบางส่วน
บทนำ
วันหนึ่งขณะที่เอมิเลียกำลังเดินอยู่บนถนน เธอได้พบกับทารกเผ่าดาร์คเอล์ฟที่จวนจะตายเข้าและได้ช่วยชีวิตเขาไว้.
แต่เขาดันมีอุปนิสัยหัวดื้อหัวรั้น, ดุร้าย, พร้อมจะแยกเขี้ยวใส่เธออยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเป็นสาวกของเทพพระเจ้าแห่งความมืดอีกด้วย.
เขาเคยด่าเธอว่าเป็น “ขี้ข้าแห่งแสง”อีกด้วย จนเอมิเลียทนไม่ไหวขู่เจ้าดาร์คเอล์ฟกลับไปว่า “ถ้านายกล้าด่าชั้นว่า ‘ขี้ข้า’ อีกรอบล่ะก็ ชั้นจะหักเงินค่าขนมของนายซะ!”
เอมิเลียเคยอ่านหนังสือที่บรรยาเกี่ยวกับเทพพระเจ้าแห่งความมืดไว้ว่า
[พระเจ้าแห่งความมืดนั้นเป็นเทพผู้โหดเหี้ยมทารุณ. เขามีผมสีเทา มีผิวหนังสีคล้ำและดวงตาสีชาดที่สุดที่เคยมีมา.
หากผู้ใดกล้าขัดขืนคำสั่งของเขา จะต้องพบกับความโหดร้ายทารุณราวกับวิญญาณถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และถูกแผดเผาเป็นธุลีด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวเท่านั้น….] ตอนนั้นเองเจ้าเอล์ฟก็เดินเข้ามาหาเอมิเลียแล้วพูดอย่างยโสว่า “เห้ย เจ้าขี้ข้า” เขาพูดพร้อมกับเลี่ยงสายตาอย่างช้าๆราวกับว่ากำลังมึนหัวอยู่ “ไหนล่ะเงินที่แกบอกจะให้ชั้น?”
เอมิเลียหงุดหงิดมากเพราะหนังสือที่เธอซื้อมาอ่านนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากเรื่องโกหก ข้อมูลผิดๆทั้งนั้น. เสียดายเงินจริงๆ!
เรื่องย่อ
พอนาฬิกาถึงเลข9 ประตูทางเข้าของโบสถ์ก็เปิดออก. อัศวินในชุดเกราะเงางามคนหนึ่งเดินมาเปลี่ยนกะกับสหายที่กำลังเหนื่อยล้าหลังจากที่เขาคอยเฝ้าโบสถ์มาทั้งคืน. อัศวินคนนั้นมาทำหน้าที่ต่อ ยืนตัวตรงอยู่หน้าทางเข้าแทบไม่ไหวติง.
ทันทีที่เข้าไปด้านในโบสถ์ก็จะมีห้องโถงกว้างใหญ่และเสาหินที่ตั้งเรียงรายอยู่. ด้านในนี้มีพื้นที่ทำจากหยกขาวดูราบเรียบและแข็งแต่มันก็แทบจะมองไม่เห็นเลย เพราะมีหมอกทึบลอยอยู่เต็มไปหมด. หมอกนี้ทำให้สถานที่นี้ดูศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่าเป็นสรวงสวรรค์เลย.
โบสถ์นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่หลายๆคนใฝ่ฝันหา มันคือที่อยู่ของศาสนาแห่งแสงและอารามที่ปลอดภัยของพวกเขา.
เอมิเลียกำลังกอดหนังสือไว้ที่อก. ใบหน้าของเธอดูยิ้มแย้มและดวงตาสีน้ำเงินของเธอสุกสกาวไปด้วยความสุข “ดูเหมือนว่าจะมีเหล่าผู้ศรัทธากำลังรออยู่ด้านนอกเยอะเลยนะคะวันนี้” เธอบอกอัศวินข้างๆเธอ.
อัศวินคนนั้นไม่นึกเลยว่าเธอจะหันมาคุยด้วย เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนสนใจเขาด้วยซ้ำ. เขาอึ้งไปพักหนึ่งแล้วก้มหัวเล็กน้อยจากนั้นก็ตอบ “ครับท่าน”
“ชั้นสงสัยจังว่าพวกเขาคุกเข่าอยู่ด้านนอกนานแค่ไหนแล้วนะ” เอมิเลียกล่าวต่อ. แสงอาทิตย์สาดลงมาจากหน้าต่างข้างบนของโบสถ์โดนหน้าของเธอ. คิ้วเข้มเรียบรื่น, นัยน์ตาสีน้ำเงินดุจท้องทะเลและมวยผมสีทองคำของเธอดูสง่ามาก. เธอหน้าตางดงามราวกับดอกกุหลาบที่กำลังเบ่งบาน.
เธองดงามจนดาวบนฟากฟ้าเทียบไม่ติดเลย.
อัศวินที่กำลังคุยกับเธออยู่หน้าแดงขึ้นมาภายใต้หมวกนั่น. พวกอัศวินหนุ่มสองคนด้านหลังเขาเริ่มกระซิบกระซาบกัน.
“นั่นเซ้นต์เอมิเลียไม่ใช่หรอ? นางดูยิ่งใหญ่และงดงามดั่งที่เขาล่ำลือกันเลย!” อัศวินคนหนึ่งกล่าว.
“แต่ชั้นได้ยินมาว่าผลการเรียนของนางย่ำแย่มากนะ?” อัศวินอีกคนกระซิบ “ยังไงชั้นก็ชอบเซ้นต์เดบรามากกว่านาง เพราะเธอเป็นอันดับหนึ่งทุกปีเลยนะ!”
หัวหน้าอัศวินเหลือบไปทางอัศวินที่กำลังกระซิบกันอยู่อย่างแรงจนทั้งสองเลิกคุย. พวกเขาก้มหัวลงแล้วเงียบทันที.
เจ้าบ้าสองคนนั่นยังฝึกไม่พอ. หัวหน้าอัศวินกัดฟันพูดแล้วหันมามองผู้หญิงที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา.
ถ้าเขาได้ยินที่พวกอัศวินคุยกันตะกี้ล่ะก็ ท่านเซ้นต์ก็คงจะได้ยินเหมือนกัน.เขากังวลมากจนยืนตัวแข็งอยู่กับที่ด้วยความกลัวที่ว่าพวกอัศวินนั่นจะทำให้เซ้นต์ไม่พอใจเข้า. เขายกหัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูหน้าของเอมิเลีย.นางดูไม่โกรธหรืออะไรเลย ตอนนี้เธอกำลังมองไปทางอื่นอยู่. ดูเหมือนว่าเธอจ้องผ่านพวกเขาไปทางประตูด้านหน้า.หัวหน้าอัศวินอยากจะลองโบกมือด้านหน้าเธอดูแต่ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่แทน.
จริงๆแล้วเอมิเลียไม่ได้ยินอะไรเลย.
ใจเธอกำลังเต้นรัวและมือเธอก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ. เธอไม่สนหรอกว่าพวกนั้นจะพูดอะไร.
เพราะตอนนี้เธอกำลังจะทำอะไรบางอย่างที่สุดโต่งมากๆ.
เธอไม่ใช่คนของโลกนี้–เธอข้ามมาที่โลกนี้ต่างหาก. ชีวิตก่อนหน้าของเธอต้องจบลงอย่างน่าอนาถด้วยอุบัติเหตุ พอลืมตาตื่นขึ้นเธอก็ได้เกิดใหม่เป็นเด็กทารกซะแล้ว.
ชีวิตนี้ของเธอนั้นต้องพบกับชะตาอันน่าหดหู่. นอกจากจะถูกแม่แท้ๆทอดทิ้งไปแล้ว เธอก็ถูกส่งไปยังสถานเด็กกำพร้าที่แทบจะเลี้ยงเธอไม่ไหวด้วยซ้ำชีวิตของเธอลำเค็ญมาอยู่หลายปี.
จนกระทั่งเธออายุเข้า8ขวบเธอเริ่มเข้าใจในโลกที่เธออยู่นี้ ณ ตอนที่ถูกเลือกให้เข้ามาเป็นสมาชิกของศาสนาแห่งแสง.
นี่คือโลกที่เต็มไปด้วยเวทย์มนต์และแฟนตาซี ทั่วทั้งทวีปนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งอย่างเท่าเทียมกัน. ฝั่งแห่งแสงสว่างและฝั่งแห่งความมืด. ทั้งสองนั้นเป็นศัตรูกันมาตั้งแต่แรกเริ่มและจะเปิดสงครามใส่กันทุกครั้งที่มีโอกาส สงครามนั้นปะทุขึ้น ณ สุดขอบของทวีปและค่อยๆมาถึงใจกลาง.
สงครามแห่งศรัทธาครั้งสุดท้ายนั้นเกิดขึ้นเมื่อ1ศตวรรษก่อน. และในสงครามนั้นเองศาสนาแห่งแสงก็มีชัยเหนือความมืดจนพวกนั้นหนีหายเข้าไปในป่าลึก.
ต่อมาศาสนาแห่งแสงก็ได้ปกครองไปทั่วทั้งทวีป และสถานที่ที่เอมิเลียเกิดนั้นก็บังเอิญเป็นเมืองหลวงใต้ปกครองของศาสนานั้น.
ตั้งแต่ที่เอมิเลียเข้ามาเป็นสมาชิกของศาสนา ตำแหน่งของเธอก็ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเพราะรูปลักษณ์อันงดงามและพรสวรรค์ด้านการใช้เวทย์มนต์อันยอดเยี่มของเธอ. เธอโชคดีมากๆ และเมื่อ2ปีก่อนนี้เธอก็ได้รับเลือกให้เป็นเซ้นต์.
ตราบใดที่เธอยังทำหน้าที่ได้ดีดังเดิม เธอก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นบิชอปเร็วๆนี้แน่. การได้เป็นบิชอปหมายความว่าเธอจะมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและด้วยตำแหน่งนั้นเธอก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่บนจุดสูงสุดของสังคมได้จนทุกคนจะต้องอิจฉา.
ไม่มีคำใดจะสามารถอธิบายความยอดเยี่ยมของเอมิเลียได้เลย. หลายๆคนนับถือเธอ อยากจะเป็นอย่างเธอและมาแทนที่เธอ. ถ้าจะบอกว่าเอมิเลียเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนก็ไม่ได้เว่อร์เกินไปเลย.
แต่ถึงอย่างนั้น เอมิเลียก็รู้สึกว่าอยากจะหนีไปให้พ้นๆซักที…..… เพราะคนพวกนั้นไม่เคยได้รับรู้ถึงเบื้องหลังของความศักดิ์สิทธิ์นี้ของเธอเลย.
พวกเขาล้วนอยากได้ชีวิตที่เอมิเลียมี.
สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกนอก. สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเอมิเลียรู้สึกเจ็บใจกับการตัดสินใจของเธอในครั้งนั้นอยู่ตลอด. เธอไม่น่าเข้าศาสนาเลย.
เธอเป็นคนสมัยใหม่. เธอไม่มีความเชื่อและเธอเกลียดที่จะต้องเห็นการกระทำที่ดูงมงายเกินไป. แค่แกล้งทำตามเธอก็แทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว. แถมยังต้องมาดูการประหารแบบเลือดสาดอีกมันให้ความรู้สึกแย่กว่าเดิมมากๆ. บางครั้งเธอก็ต้องทำเองด้วย เธอต้องปลิดชีวิตผู้คนทิ้งเพียงเพราะว่าพวกเขามีความเชื่อที่แตกต่างแค่นั้นเอง. เสียงร่ำไห้ของเหล่าคนที่น่าสงสารและวิญญาณที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยังคงกึกก้องอยู่ในหูเธอตอนที่ประหารนั้น.
โหดร้ายและป่าเถื่อนนั่นแหละคือศาสนาแห่งแสง,ศาสนาที่อ้างว่ายอมรับทุกสรรพสิ่งอย่างหมดใจแต่ในมือกลับเปื้อนเลือดอันบริสุทธิ์แทน.
สิ่งที่เอมิเลียอยากทำตอนนี้คืออยู่ให้ห่างจากศาสนาแห่งแสงนี่เท่าที่จะทำได้. เธอหวังว่าจะได้ย้ายไปที่หมู่บ้านไกลๆซักแห่งนึงเมื่อศึกษาจบ เธอจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่บ้านนอกนั่น.
นั่นคือทั้งหมดที่เธอต้องการ. แต่ทว่า มีบางคนพยายามจะกีดกันไม่ให้เธอทำเรื่องนั้นสำเร็จ.
เอมิเลียกอดหนังสือแน่นขึ้น มือของเธอเริ่มเปียกขณะที่พูดเบาๆกับตัวเองว่า “เดบรา” เธอพยักหน้าให้หัวหน้าอัศวินเล็กน้อยจากนั้นก็ออกจากโบสถ์ไป.
โบสถ์นั้นตั้งอยู่ใกล้กับทางเข้านครหลวงมากๆ มีอัศวินคอยเดินอารักษ์พื้นที่อยู่อย่างหนาแน่น. เขตนอกของโบสถ์ล้อมรอบไปด้วยย่านการค้าและที่พักอาศัย มีผู้คนชุกชุมอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน.
เอมิเลียเดินผ่านพวกทหารลาดตระเวนไปทางมุมมืดของตรอกแห่งหนึ่ง. หนังสือที่เธอกอดเอาไว้หล่นลงมากระทบกับพื้นดัง ตุ่บจากนั้นมันก็กลายเป็นรถเข็นเล็กๆ.
ด้านในรถเข็นนั้นมีผ้าเป็นกองอยู่หลายชั้น. เอมิเลียคุ้ยผ่านผ้าพวกนั้นจนเจอผ้าคลุมสีเทาผืนหนึ่ง. เธอสะบัดมันหนึ่งทีเพื่อให้ฝุ่นปลิวออกจากนั้นก็รีบสวมมันทับชุดเอาไว้.
สิ่งที่เธอกำลังจะทำในวันนี้ก็คือกำจัดขวากหนามที่คอยขัดขวางไม่ให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในอนาคต และคนคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกซะจาก เซ้นต์เดบรา.
ไม่กี่วันก่อนเอมิเลียสังเกตุเห็นว่าผู้หญิงคนนี้คอยแอบตามเธออยู่ในเงามืดตลอด. นางแอบเข้าห้องของเธอหลายครั้งราวกับว่ามันเป็นห้องของนางเอง. ดูเหมือนว่าเธอกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่.
เอมิเลียไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอะไร. เธอไม่รู้ว่าจะทำยังไงดีจึงเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเอง. จนกระทั่งบ่ายวานนี้ เธอได้ยินข่าวลือว่าเดบราเจอหลักฐานที่เซ้นต์คนหนึ่งได้ทรยศต่อศาสนาและพระเจ้าของพวกเขาแล้ว. ยังลือกันอีกว่าเดบรากำลังคิดที่จะส่งหลักฐานนั้นไปให้โป๊บในอีกวันสองวัน แล้วเธอก็จะได้รับคำยินยอมจากโป๊บให้โยนคนทรยศนั่นเข้าตารางไป.
เอมิเลียทำหน้านิ่งเข้าไว้ตอนที่ได้ยินเรื่องนั้นและเธอก็คิดว่าเรื่องที่เธอไม่ศรัทธาต่อพระเจ้าถูกเปิดโปงแล้วแน่ๆ. เดบรารู้เรื่องนี้ได้ยังไงนั้นเธอก็ไม่รู้หรอก. เอมิเลียคิดว่าตัวเองปกปิดดีแล้วแท้ๆ แต่เธอก็ต้องเลิกกังวลเรื่องนั้นไปก่อน. สิ่งที่เธอควรทำตอนนี้คือจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อนที่ความลับจะไปถึงโป๊บ.
ต้องไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก.
ตาของเอมิเลียเริ่มมืดมัวลงพร้อมกัดฟันอย่างแน่น. เธอเอาหมวกของผ้าคลุมขึ้นมาปิดหัวไว้แล้วค่อยๆเลาะไปตามตรอก.
ถ้าจะเริ่มจะโบสถ์ก่อนก็เลิกคิดไปได้เลย เพราะมันเสี่ยงต่อการโดนจับได้มากๆ. หลังจากที่เธอรอมาหลายวันในที่สุดเดบราก็ออกมาจากโบสถ์แล้ว เอมิเลียจับตามองเธอจากระยะไกล.
พอออกจากตรอกมาเธอก็ไปที่ทางแยก จากนั้นเอมิเลียก็เดินเลี้ยวไปรวมกับกลุ่มคนที่ย่านการค้า.
ปกติแล้วชาวเมืองจะใส่ชุดเรียบง่ายสีดำไม่ก็สีเทา ส่วนพวกเซ้นต์นั้นจะใส่ชุดสีขาวทอง ดูโดดเด่นเป็นสง่าท่ามกลางฝูงชน.
เอมิเลียสามารถมองเห็นเดบราได้ง่ายๆจากในฝูงชนนั้น. เธอดูงดงามมากๆ สีหน้าของเธอทั้งมีความเมตตาและอ่อนโยน. ความงดงามของเธอแผ่ออกมาจากภายในจริงๆ. นางดูสว่างจ้ามากๆเมื่อเทียบกับเหล่าผู้ศรัทธารอบๆตัวเธอ.
“เดบรา, เวลาเราใกล้หมดแล้ว ถึงเวลาต้องกลับแล้วล่ะ” เพื่อนของนางกระซิบบอก.
พอมองมาข้างๆ เดบราก็พยักหน้าแล้วโบกมือลาพร้อมกับส่งยิ้มให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าของเธอ ผู้หญิงคนนั้นก็โบกมือลากลับ. พอหันกลับมารอยยิ้มนั้นก็หายไปทันที ไม่เหลือแม้แต่ความเป็นมิตรเหมือนวินาทีก่อนหน้านี้เลย.
และมี นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novelza.com